‘ทรีนีตี้’ แจกโพยลงทุนหุ้นเดือนมี.ค.
“ทรีนีตี้” มองหุ้นเดือนมี.ค.แกว่งตัวตามทิศทางการประชุมของธนาคารกลางทั่วโลกเป็นสำคัญ ว่าจะช่วยลดทอนความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้หรือไม่ ส่วนปัจจัยในประเทศ มองประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีอาจสร้างความผันผวนได้บ้าง ในขณะที่ Thai ESGX คาดมีผลต่อการลงทุนน้อย ให้กรอบแนวรับที่ 1177 และ 1150 จุด ส่วนแนวต้านประเมินที่ 1230 และ 1270 จุด กลยุทธ์ คัด 5 ธีมหุ้นลงทุนได้
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมว่า คาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นโลกในเดือนมีนาคมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านนโยบาย โดยเฉพาะความคาดหวังทางด้านนโยบายการเงินเป็นสำคัญ หลังจากที่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากขึ้น จากการที่ ปธน.ทรัมป์ของสหรัฐฯยืนยันนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม ดังนั้นหากในเดือนนี้ โทนจากธนาคารกลางต่างๆ ยังคงออกมาในลักษณะเดิม ไม่มีความผ่อนคลายมากขึ้น เชื่อว่าจะยิ่งทำให้ความกังวลเศรษฐกิจนั้นปรับตัวสูงขึ้นได้ จนนำมาสู่ภาวะความชัน Yield curve ที่แบนราบหรือ Flattening มากขึ้น และ Inverted ในบางช่วงของ Yield curve ซึ่งมักไม่เป็นผลดีนักต่อแนวโน้มสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม
สำหรับปัจจัยในประเทศ ประเมินว่านักลงทุนบางส่วนน่าจะจับจ้องไปที่ปัจจัยการเมืองมากขึ้น หลังจากช่วงปลายเดือนนี้เตรียมที่จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนขึ้นในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง ส่วนประเด็นความคาดหวังด้านสภาพคล่องเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุน Thai ESGX เพื่อมารองรับการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ครบกำหนดนั้น มองไม่มีผลกระทบใดๆมากนักในระยะสั้น เนื่องจาก 1) การให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพียงเท่ากับมูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันที่ย้ายมา และ 2) แรงไถ่ถอนกองทุน LTF ที่ลดลงอย่างมากแล้วในช่วงหลัง จึงมองว่าเป็นนโยบายที่ไม่ได้สร้างแรงจูงใจมากนัก และไม่ได้เสริมสร้างสภาพคล่องใหม่เข้าไปในระบบแต่อย่างใด
ประเมินกรอบ SET Index ประจำเดือนนี้มีแนวรับแรกที่ 1177 จุด ซึ่งเป็นบริเวณที่มี PBV เทียบเท่ากับระดับต่ำสุดในช่วง Covid-19 แล้ว ส่วนแนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดประเมินที่ 1150 ซึ่งเป็น Gap ที่ยกตัวขึ้นมาในช่วงการเริ่มต้น Rally ของดัชนีช่วงหลังเหตุการณ์ Covid ใหม่ๆ ในทางกลับกัน ประเมินกรอบแนวต้านแรก ที่ 1230 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 1270 จุด
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ผสม ระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัย โดยถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกจะลงมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่มองว่ายังคงจำเป็นที่จะต้องถือครองสินทรัพย์นี้ในพอร์ตโฟลิโอเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อไป ในขณะเดียวกัน สำหรับฝั่งตราสารทุนนั้น มองว่านักลงทุนจำเป็นต้องเกลี่ยพอร์ตไปที่กลุ่มหุ้น Defensive ที่มี Cashflows มั่นคงมากขึ้น รวมถึงตราสาร คล้ายพันธบัตรเช่น REIT และ IFF ในสภาะวะที่ยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูงนี้
สำหรับกลุ่มหุ้นแนะนำประจำเดือนมีนาคม ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้น Domestic play ที่ยังคง Laggard ทางด้าน Valuation ได้แก่ CPALL, CPAXT, HMPRO, AP, SPALI 2.กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond yield ขาลง ได้แก่ TIDLOR 3.กลุ่มหุ้น Defensive ได้แก่ BDMS 4.กลุ่มหุ้น REIT และ IFF เลือก LHHOTEL, 3BBIF และ 5.หุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ระหว่างกาลในช่วงต้นเดือนเมษายน ได้แก่ VGI
3048