'สุชาติ' เปิดงานแสดงสินค้าไทย-จีนช่วยผู้ประกอบการค้นพบคู่ค้าต่อยอดทำธุรกิจ
สุชาติ เปิดงาน The 2025 Thailand – China Economic and Trade Cooperation Forum & The 3rd China International Supply Chain Expo Thailand Roadshow มั่นใจมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการไทยและจีนได้ค้นพบคู่ค้าที่มีศักยภาพ และต่อยอดการทำธุรกิจระหว่างกันได้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเปิดงาน The 2025 Thailand – China Economic and Trade Cooperation Forum & The 3rd China International Supply Chain Expo Thailand Roadshow (CISCE) ณ หอประชุมใหญ่ กวางหวาถัง หอการค้าไทย–จีน อาคารไทย ซี.ซี. ทาวเวอร์ ชั้น 9 (เขตสาทร)
จัดโดยสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งชาติจีน และหอการค้าไทย–จีน ว่า ไทยและจีนเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาช้านาน มีความผูกพันกันในหลายมิติ ทั้งสายเลือด วัฒนธรรม โดยฉพาะด้านการค้า ดังคำกล่าวที่ว่า 'ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน'
นายสุขาติ ได้กล่าวว่า รัฐบาลโดย ท่าน นายกรัฐมนตรี แพรทองธาร ชินวัตร ท่านได้มี นโยบายในการสนับสนุนส่งเสริมให้นักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย โดยได้มีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลดมาตรการต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน การจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศมีโอกาสและสามารถต่อยอดการค้าระหว่างกันได้อย่างเติบโตได้ยิ่งขึ้น
การเดินทางมาไทยของสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งขาติจีน เพื่อประขาสัมพันธ์ การจัด CISCE ครั้งที่ 3 ในวันนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเชื่อมโยงการลงทุนและห่วงโซ่อุตสาหกรรมร่วมกัน โดย CISCE สามารถผลักดันการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศในภูมิภาคเอเชียและเป็นเวทีสำคัญเวทีหนึ่งในการกำหนดแนวทางและภาพรวมของทิศทางการเปลี่ยนแปลงในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนยีในมิติต่างๆ ที่มีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้นต่อโลก
ทั้งนี้ การบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้เกิดการบริหารทรัพยากร ทุน เวลา และองค์ประกอบภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเกิดประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติได้อย่างสูงสุด
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ทั้งในส่วนของภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงภาคธุรกิจบริการ จึงพร้อมมีส่วนร่วมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิตของโลก
งานในครั้งนี้ ประกอบด้วย การกล่าวสุนทรพจน์จากผู้นำระดับสูง เช่น นายเหริน หงปิน ประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายพาณิชย์) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย นายณรงศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย–จีน นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย
และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายนฤชา ฤชุพันธุ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน และนายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานสถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย-จีน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งการแนะนำงานแสดงสินค้า CISCE โดยนายหลิน ชุ่นเจี๋ย ประธานบริษัท ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ กรุ๊ป จำกัด
ตลอดจนการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง บริษัทไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ กรุ๊ป จำกัด กับ 6 หน่วยงานไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการจัดงาน CISCE ได้แก่ หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจไทยจีน หอการค้าไทย-จีน บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัท ทีซีจี กรุ๊ป จำกัด
สำหรับ ความร่วมมือด้านการลงทุน ได้แจ้งกับ CCPIT ว่ารัฐบาลไทยยินดีต้อนรับนักลงทุนจีน ที่ต้องการเข้ามาดำเนินธุรกิจในเขต EEC โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ พลังงานสะอาด รวมถึงการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน แรงงานฝีมือ รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน และมาตรการอำนวยความสะดวกซึ่งเอื้อต่อการใช้ชีวิตระยะยาวในประเทศไทยสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลไทยมีนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ EV 3.5 ที่ให้การสนับสนุนทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตผ่านการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป การลดภาษีสรรพสามิต และการให้เงินอุดหนุน ดังนั้น นักลงทุนและหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของจีน จึงมั่นใจได้ว่า ไทยจะเป็นฐานลงทุน ฐานการกระจายสินค้า และตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่มีศักยภาพในระยะยาว
ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันที่สูงที่สุดกับไทยติดต่อกันถึง 11 ปี ตั้งแต่ ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2566 การค้ารวมมีมูลค่า 104,999.92 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,650,890.18 ล้านบาท) ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 0.19 แบ่งเป็น มูลค่าการส่งออก 34,173.34 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,177,192.18 ล้านบาท) ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 0.75 และมูลค่าการนำเข้า 70,826.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,473,698.00 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 0.08 โดยไทยขาดดุลการค้า 36,653.24 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,296,505.82 ล้านบาท) ซึ่งเป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบที่ไทยสามารถนำไปเพิ่มมูลค่าการค้ากับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ต่อไปได้