การวิเคราะห์ผลสำเร็จตามเป้า Made in China 2025
โดย ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล ประธาน
สถาบันวิจัยพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา BRI
การวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนจากแผนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 (MIC 2025) ช่วยให้เราเข้าใจถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของจีนในยุคปัจจุบัน ซึ่งแผนนี้ประกาศใช้ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายหลักคือการยกระดับจีนจาก ‘โรงงานของโลก’ สู่’แหล่งผลิตนวัตกรรมระดับโลก’โดยเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
1. เป้าหมายหลักของ Made in China 2025
- ยกระดับอุตสาหกรรมหลัก 10 ประเภท : ได้แก่ อุตสาหกรรมสารสนเทศ, หุ่นยนต์, อุปกรณ์อากาศยาน, การต่อเรือขั้นสูง, รถไฟ, รถยนต์พลังงานใหม่, อุปกรณ์พลังงาน, วัสดุชนิดใหม่, ยาชีวภาพและอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง, และเครื่องจักรการเกษตร
- ลดการพึ่งพาการนำเข้า: จีนมุ่งเน้นการผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสูงจากต่างประเทศ เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร
- การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : แผนนี้ยังเน้นการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
2. ผลสำเร็จของ Made in China 2025
- รถยนต์พลังงานใหม่ : จีนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันดับหนึ่งของโลก โดยในปี 2022 จีนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 7 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจาก 510,000 คันในปี 2016
- พลังงานหมุนเวียน : จีนครองสัดส่วนการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ทั่วโลกถึง 80-95% และคาดว่าในปี 2028 จีนจะผลิตพลังงานสะอาดได้ 60% ของโลก
- โดรนและเทคโนโลยี AI : บริษัทจีนอย่าง DJI มีส่วนแบ่งตลาดโดรนทั่วโลกถึง 70% และบริษัท DeepSeek แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์
3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
- การลดการนำเข้า : จีนลดการนำเข้าจากประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และไต้หวัน โดยหันมาผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์เองมากขึ้น
- การขยายห่วงโซ่อุปทานในอาเซียน : จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากอาเซียน เช่น เชื้อเพลิงและสินค้าเกษตร เพื่อทดแทนการผลิตในประเทศ
- การแข่งขันทางเทคโนโลยี : แผน MIC 2025 ทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีหลายสาขา เช่น AI, พลังงานหมุนเวียน, และโดรน สร้างความกดดันให้สหรัฐฯ และประเทศตะวันตก
4. ความท้าทายและข้อจำกัด
- การคว่ำบาตรจากต่างชาติ : สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีน โดยเฉพาะไมโครชิป ทำให้จีนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศมากขึ้น
- การพึ่งพาตนเอง : แม้จีนจะประสบความสำเร็จในหลายอุตสาหกรรม แต่ยังคงต้องนำเข้าสินค้าบางประเภท เช่น เชื้อเพลิงและสินค้าเกษตร
- ภาวะสินค้าล้นตลาด : การผลิตที่มากเกินไปในบางอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ส่งผลให้จีนต้องระบายสินค้าผ่านการส่งออกมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อตลาดโลก
5. โอกาสสำหรับประเทศไทย
- การปรับตัวของอุตสาหกรรมไทย : ไทยควรพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น อุตสาหกรรมเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพและยานยนต์สมัยใหม่
- การแข่งขันกับสินค้าจีน : ไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากสินค้าราคาถูกจากจีน โดยเฉพาะในตลาดออนไลน์และกลุ่ม SME
สรุป
แผน Made in China 2025 เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ช่วยให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมระดับโลก แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากต่างชาติและภาวะสินค้าล้นตลาด แต่จีนยังคงเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศและขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทย การปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้