ส่งออกก.พ.68 แรงไม่ตก เพิ่ม 14% บวก 8 เดือนติด พิชัย ขอลุ้นทั้งปีโต 3.5%
พิชัย แถลงตัวเลขส่งออก ก.พ.68 มูลค่า 26,707.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 14% ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือนติด รวม 2 เดือน มูลค่า 51,984.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 13.8% คาดส่งออกจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศต่อไป ทั้งปีลุ้นโต 3.5% สนค.ประเมินไตรมาสแรก โตตัวเลข 2 หลัก ได้แรงหนุนความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลาย แต่ต้องเฝ้าระวังนโยบายการค้าสหรัฐ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกไทยเดือน ก.พ.2568 มีมูลค่า 26,707.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน และการนำเข้า มีมูลค่า 24,718.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4% เกินดุลการค้า 1,988.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยคาดว่าเดือน มี.ค.2568 การส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการการลงทุนที่มากขึ้น และดูจากการการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบที่นำมาผลิตเพื่อการส่งออก
ส่วนการส่งออก 2 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-ก.พ.) มีมูลค่า 51,984.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.8% การนำเข้า มูลค่า 51,876 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% เกินดุลการค้า 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ การส่งออกไทยเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 11.8% โดยเดือนต.ค.2567 เพิ่มขึ้น 14.6% พ.ย. 2567 เพิ่มขึ้น 8.2% ธ.ค. 2567 เพิ่มขึ้น 8.7% ม.ค. 2568 เพิ่มขึ้น 13.6% และก.พ. 2568 เพิ่มขึ้น 14%
“การส่งออกเป็นที่น่าพอใจมาก และเชื่อว่าการส่งออกจะยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ได้ โดยการส่งออกไทยกำลังฟื้นตัวจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ไทยเป็นประเทศเล็กและเปิด จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออก ในอดีตตัวเลขไม่ดี เพราะการลงทุนหดตัว แต่ขณะนี้การลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกขยายตัว และหากสามารถแก้ปัญหาหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจได้สำเร็จ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวเกิน 3% และการส่งออกเติบโตอย่างน้อย 3.5%"นายพิชัยกล่าว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกเดือนก.พ.ที่ขยายตัวมาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่มขึ้น 3.9% โดยสินค้าเกษตรหดตัว 1.6% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่มขึ้น 9.9%
โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา น้ำตาลทราย ไก่สด แช่เย็น แชแข็ง และแปรรูป ผลิตภัณฑ์ข้าสาลีและอหารสำเร็จรูปอื่นๆ อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เนื้อสัตว์และของปรุงแต่งที่ทำจากเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ 2 เดือนปี 2568 ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่มขึ้น 2.1%
ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 17.2% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า
ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด ทั้งนี้ 2 เดือนแรกการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 17.1%
สำหรับ การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยตลาดหลัก เพิ่มขึ้น 7.7% ได้แก่ สหรัฐฯ 18.3% จีน 22.4% ญี่ปุ่น 3.1% สหภาพยุโรป (27) 4.5% แต่ญี่ปุ่นลดลง 3.1% ตลาดอาเซียนอาเซียน (5) ลด 0.5% และ CLMV ลด 1.8% ตลาดรอง เพิ่ม 21.2% ได้แก่ ตลาดเอเชียใต้ 129.5% ตะวันออกกลาง 6.7% แอฟริกา 6.8% ลาตินอเมริกา 17.9% รัสเซียและกลุ่ม CIS 30.2% และสหราชอาณาจักร 3.7% แต่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย 7.7% และตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 184.6%
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกในไตรมาสแรก คาดว่า จะขยายตัวได้ในตัวเลข 2 หลัก ประมาณ 10% โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มคลี่คลายลง
แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง อาทิ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ มาตรการตอบโต้จากประเทศต่างๆ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับระบบการค้าโลก ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตสินค้าเกษตรของไทย ตลอดจนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์