: ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน 
การส่งออกของจีน พุ่งขึ้นกว่า 12% ในเดือนมีนาคม เนื่องจากสงครามการค้าผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ ต้องส่งสินค้าล่วงหน้า
CNBC China Economy : Anniek Bao @in/anniek-bao-460a48107/ @anniekbyx
จุดสำคัญ
การส่งออกของจีนพุ่งสูงเกินคาดในเดือนมีนาคม เนื่องจากธุรกิจต่างๆ พยายามเร่งส่งสินค้าขาออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงเกินไปของสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้ายังคงลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศยังคงอ่อนแอลง
ผู้นำจีน กำหนดเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ทะเยอทะยานไว้ที่ 'ประมาณ 5%' ในปีนี้ โดยเป้าหมายดังกล่าวถือว่าทำได้ยากกว่ามาก เนื่องจากมีแนวโน้มสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นและการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง
A general view of the container terminal in Qianwan of Qingdao Port, a port in Shandong Province, China, March 17, 2023.
CFOTO | Future Publishing | Getty Images
การส่งออกของจีนพุ่งสูงเกินคาดในเดือนมีนาคม เนื่องจากธุรกิจต่างๆ เร่งส่งสินค้าขาออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงเกินไปของสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้ายังคงลดลงเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง
การส่งออกพุ่งขึ้น 12.4% ในเดือนที่แล้วในรูปดอลลาร์สหรัฐจากปีก่อน ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดยสำนักงานศุลกากรเมื่อวันจันทร์ ซึ่งสูงกว่าที่รอยเตอร์สคาดหมายว่าจะเติบโต 4.4% อย่างมาก และถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว
ปริมาณการนำเข้าลดลง 4.3% ในเดือนมีนาคมจากปีก่อน เมื่อเทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 2 %
ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของจีนชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้โดยเติบโตเพียง 2.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 ส่วนการนำเข้าลดลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดไว้ที่ 8.4% จากปีก่อน ซึ่งถือเป็นการลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2023
Zhiwei Zhang ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management กล่าวว่า “การส่งออกมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น” และเสริมว่า “ในระยะสั้น ฉันคาดว่าจะเกิดความโกลาหลในห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นได้”
Zhang กล่าวว่า นโยบายการค้ายังคงไม่แน่นอนอย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานและแผนการใช้จ่ายเงินทุนต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น ”แม้ว่าบริษัทต่างๆ จะตัดสินใจย้ายห่วงโซ่อุปทาน แต่การสร้างโรงงานก็ต้องใช้เวลา”
ผู้นำจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ทะเยอทะยานไว้ที่'ประมาณ 5%' ในปีนี้ โดยเป้าหมายดังกล่าวถือว่าทำได้ยากกว่ามาก เนื่องจากมีแนวโน้มสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นและการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม เขาได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดรวมกันสูงถึง 145%รวมถึงภาษี 20% ซึ่งเชื่อมโยงกับบทบาทของปักกิ่งในการค้าเฟนทานิล
จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีตอบโต้ โดยเรียกเก็บสูงสุด 15% สำหรับสินค้าบางรายการของสหรัฐฯ และภาษีทั่วไป125% ในการตอบโต้ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
หลิงจุน หว่อง รองหัวหน้าสำนักงานศุลกากร กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีศุลกากรในทางที่ผิด ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการค้าโลก ตามที่แปลโดย CNBC ขณะเดียวกันก็ย้ำคำเรียกร้องของปักกิ่งให้เจรจากับวอชิงตัน
จีนจะ 'ใช้มาตรการตอบโต้ทั้งหมดที่ประกาศใช้กับสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย' ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงเปิดเศรษฐกิจเพื่อความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก หวังกล่าว
รัฐบาลทรัมป์ ได้ผ่อนผันภาษีศุลกากรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายรายการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งได้แก่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ เซลล์แสงอาทิตย์ และแฟลชไดรฟ์ โดยเป็นการลดหย่อนภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล 20% เดิม ซึ่ง ยัง คงมีผลบังคับใช้อยู่
กระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวว่า การยกเว้นดังกล่าวเป็น ”ก้าวเล็กๆ ของสหรัฐฯ ในการแก้ไขการใช้มาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบแทนฝ่ายเดียวที่ผิดพลาด”และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการภาษีศุลกากรที่สูงลิ่วนี้ทั้งหมด
จากการคำนวณข้อมูลศุลกากรอย่างเป็นทางการของ CNBC พบว่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9.1% ในแง่ของมูลค่ารวมในเดือนมีนาคมเมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลง 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน สหรัฐฯ ยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในฐานะประเทศเดียว โดยคิดเป็นประมาณ 10% ของการค้าทั้งหมดของจีน
การส่งออกของประเทศไปยังประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 11.6% ในเดือนที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปยังเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเกือบ 19% ในขณะที่การนำเข้าจากภูมิภาคเติบโตขึ้น 9.8%
ขณะเดียวกัน การส่งออกของจีนไปยังสหภาพยุโรปเติบโตขึ้น 10.3% ในขณะที่การนำเข้าลดลง 7.5% จากปีก่อน
การนำเข้าแร่เหล็กของจีนลดลง 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีเหลือประมาณ 94 ล้านตันในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2023 ตามข้อมูลของ Wind Information ส่วนการนำเข้าถั่วเหลืองลดลง 36.8% สู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2008 ตามข้อมูลของ Reuters
ข้อมูลศุลกากร ระบุว่า การนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 11.2% และ 4.8% ตามลำดับ
การส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้นกว่า 25% และ 20% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เรียกร้องให้มีการกระตุ้น
เจ้าหน้าที่จีนต้องเผชิญกับแรงกดดันให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและตลาดที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็ลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนของเศรษฐกิจลง
ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวจีนยังคงลังเลที่จะใช้จ่าย โดยราคาผู้บริโภคหดตัวเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ขณะที่ราคาผู้ผลิตลดลงเป็นเดือนที่ 29 ติดต่อกัน
ธนาคารเพื่อการลงทุนหลายแห่งได้ดำเนินการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีนในปีนี้ โดยอ้างถึงผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
โกลด์แมน แซคส์ ซึ่งเป็นธนาคารล่าสุดที่เข้าร่วมการจัดอันดับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่าเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกจะเติบโตเพียง 4.0% ในปีนี้ ซึ่งลดลง 0.5% จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ แม้จะคาดว่าปักกิ่งจะเข้มงวดนโยบายผ่อนปรนมากขึ้นเพื่อรับมือกับการหยุดชะงักของภาษีศุลกากร แต่ธนาคารวอลล์สตรีทเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวอาจไม่สามารถ ‘ชดเชยผลกระทบเชิงลบของภาษีศุลกากรได้ทั้งหมด’
จีนมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขการเติบโตของ GDP ประจำไตรมาสแรกในวันพุธ ตามด้วยการประชุมระดับสูงโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดที่เรียกว่าโปลิตบูโรในช่วงปลายเดือนนี้ ในการประชุมครั้งนี้ ผู้กำหนดนโยบายคาดว่าจะเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและชดเชยผลกระทบจากการค้า
Evelyn Cheng จาก CNBC มีส่วนสนับสนุนในการเขียนเรื่องนี้
