จุดพลุสู่ยุคใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัลไทย!! มหกรรม Block Mountain CNX 2025
งาน Block mountain CNX 2025 Spark the future : Explore Web3.0 Experience จัดขึ้นเป็น ปีที่ 7 มหกรรมบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ร่วมสร้างอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลไทยด้วยการรวมพลังทุกภาค ส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่สนใจสินทรัพย์ดิจิทัล มาร่วมกันสร้างสรรค์แนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่ของโลก
การจัดงานในครั้งนี้ได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญในการรวมพลังของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำโดย ดร. นที เทพโภชน์ ประธานกรรมการ บริษัท ออมแพลตฟอร์ม จำกัด ผู้จัดงานหลัก ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), และหน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), สถาบันการศึกษาชั้นนำอย่าง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ มหาวิทยาลัย นอร์ท-เชียงใหม่ รวมถึงภาคเอกชนชั้นนำ อาทิ สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย, สมาคมเมตาเวิร์สไทย, คริปโตมายด์ กรุ๊ป, Cryptocity Connext, GM Learning Club, Right Shift, 9 Cat, Guardian Ai Lab และ SiamDapp ต่างมาร่วมกันแสดงพลังและวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
และไม่เพียงแต่จะเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยงานทั้ง 4 วันมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1000 คน Speaker มากกว่า 100 ท่าน สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศไทยและอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจอย่างมากมาย
“Thailand & Global Blockchain & Digital asset Landscape” โดย คุณนเรศ เหล่าพรรณราย นายกสมาคมสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย Founder Ricco Wealth, คุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการบริหาร บริษัท โฉลกดอทคอม จํากัด Founder Right Shift, คุณสถาพน พัฒนะคูหา กรรมการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และ ผู้ก่อตั้ง Guardian AI Lab, คุณสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, คุณศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ กรรมการสมาคม สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และผู้ก่อตั้ง Bitcast
“ภาพรวมระดับโลกหลังจาก Donald Trump จะดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการและสามารถดำเนินมาตรการต่างๆ ที่เคยหาเสียงไว้ได้เช่น การจะผลักดันบิตคอยน์ให้เป็น Strategic reserve ของสหรัฐฯ การจะจัดตั้งสหรัฐฯ ให้เป็นศูนย์กลางของคริปโทฯ ซึ่งเชื่อว่าจะเห็นการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมาก สถาบันการเงินขนาดใหญ่เริ่มให้ความสนใจและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เช่น การที่บริษัทจัดการสินทรัพย์ยักษ์ ใหญ่อย่าง BlackRock ให้ความสำคัญกับการ Tokenization นอกจากนี้ ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศก็เริ่มพูดถึงบิตคอยน์และคริปโทฯ ในมุมที่จริงจังมากขึ้น และเริ่มมีการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทคริปโทฯ ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มีการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เปิดเสนอขายกองทุนรวมอ้างอิง Bitcoin ETF นอกจากนี้ โปรแกรม ICO Portal ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
บล็อกเชนยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเงิน ซึ่งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น การใช้ Lightning Network เพื่อทำธุรกรรมบิตคอยน์ได้อย่างรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ หรือ Asset Tokenization บนเครือข่ายบิตคอยน์
ในอนาคตคาดว่าตลาดบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น”
“Bridging Policy and Technology: The Role of Blockchain in Modern Governance” โดย นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี อดีตนายทหารอากาศ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการ พัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แห่งชาติ (สอวช.) ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจ ดิจิทัล) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล depa ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้เขียนหนังสือ Data Driven ใช้เป็นเห็นอนาคต และ CEO JIB Soft
“เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปหลายภาคส่วนของสังคม แต่การนำบล็อกเชนมาใช้ในระดับประเทศนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด ข้อจำกัดหลักที่พบคือความเข้าใจในเทคโนโลยีที่ยังไม่ครอบคลุมในกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย ส่งผลให้กระบวนการนำบล็อกเชนมาใช้เป็นไปอย่างเชื่องช้า
บล็อกเชนมีศักยภาพในการปฏิวัติการทำงานของหลายภาคส่วน เช่น การยืนยันตัวตน การตรวจสอบธุรกรรม การจัดเก็บข้อมูล และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะ การนำบล็อกเชนมาใช้ในโครงการต่างๆ เช่น sandbox เพื่อทดลองและวัดผลลัพธ์ สามารถช่วยให้เห็นภาพการ ประยุกต์ใช้บล็อกเชนในโลกจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นโยบายที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล วีซ่านักลงทุน และการส่งเสริมสตาร์ทอัพในภาคบล็อกเชน ถือเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการเข้ามาในประเทศ
ทั้งนี้ โอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมบล็อกเชนในประเทศไทยนั้นยังมีอีกมากมาย การส่งเสริมให้เกิดการใช้ Smart Contract Smart City ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และการสนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้
การบูรณาการเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับนโยบายของภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัล การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญ ในการปลดล็อกศักยภาพของบล็อกเชนและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศไทย”
“Navigating Digital Asset Regulation: Thai SEC’s Impact on Financial Innovation การส่งเสริม นวัตกรรมทางการเงินดิจิทัล” โดย คุณบุตรี หวังศิริรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
“สำนักงาน ก.ล.ต. เดินหน้าผลักดันระดมทุนผ่าน Investment Token สนับสนุน ICO Portal ได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น รวมถึงปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ครอบคลุมไปถึงโทเคนดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับ ESG เช่น Green Token ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขออนุมัติ และ Soft Power Token สำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ค่ายเพลงและค่ายหนัง นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยี Smart Contract มาใช้ในการพัฒนา โครงการ ICO เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ
สถานการณ์ปัจจุบันของตลาด ICO ในประเทศไทย มี ICO ที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว 9 ราย โดย 6 รายได้รับการอนุมัติแล้ว และอีก 3 รายอยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุมัติ และมี ICO Portal ที่ได้รับอนุมัติแล้ว 4 โครงการ มูลค่าการระดมทุนรวม 5,000 ล้านบาท
ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโดยรวมมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวง การคลังแล้วกว่า 23 ราย และมีลูกค้าที่เปิดบัญชีแล้วกว่า 2.44 ล้านบัญชี
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ตลาดโทเคนดิจิทัลในประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีการเปิดพื้นที่สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น”
“Bridging Traditional Finance with DeFi: The Next Step in Financial Innovation” โดย คุณกานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ผู้ก่อตั้งเพจ Kim Defi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand คุณสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด คุณฤทธิ์ เบญจฤทธิ์ Co-founder Bitcoin Addict Thailand
“โลกการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) หรือ CeFi (Centralized Finance) นั้นมักมีข้อจำกัด และขั้นตอนที่ซับซ้อนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ กฎระเบียบที่เข้มงวดและกระบวนการที่ยาวนาน ทำให้หลายคนรู้สึกว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่ไกลตัว
DeFi (Decentralized Finance) เข้ามาปฏิวัติวงการการเงินด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากขึ้น Smart Contract ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมต่างๆ โดยอัตโนมัติ และความโปร่งใสของข้อมูลบนบล็อกเชนก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ ระบบ DeFi นอกจากนี้ DeFi ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การให้กู้ยืมแบบกระจายอำนาจ (DeFi lending) หรือการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล (DeFi exchange) ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงกว่า
DeFi กำลังพัฒนาไปสู่ยุคที่สาม ซึ่งเน้นการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาบริการใหม่ๆ ผู้ใช้สามารถค้นหาแพลตฟอร์ม DeFi ที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้ง่ายขึ้นผ่านเครื่องมือ AI ที่ช่วยเปรียบเทียบและจัดอันดับต่างๆ
ในขณะที่ DeFi กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมหลายแห่งเริ่มนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาบริการของตนเอง เช่น การใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ผูกติดกับสินทรัพย์ที่มีอยู่จริง (stable coin) เพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างประเทศ หรือการนำสินทรัพย์ต่างๆ มา Tokenization เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความยืดหยุ่นในการลงทุน
ทั้ง DeFi และ CeFi สามารถเติบโตควบคู่กันไปได้ โดยแต่ละระบบตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ที่แตกต่างกัน ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและความโปร่งใสอาจเลือกใช้ DeFi ในขณะที่ผู้ที่ต้องการความมั่นคงและกฎระเบียบที่ชัดเจนอาจยังคงใช้บริการของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม การที่ DeFi สามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นมากกว่า ระบบการเงินแบบดั้งเดิมในหลายๆ ด้าน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการเงิน สถาบันการเงินต่างๆ จะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและนำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”
“How US Leadership in Bitcoin Could Shape Global Crypto Markets” โดย ดร.วิชิต ซ้ายเกล้า ผู้ก่อตั้ง Satochit - Bitcoin Kindergarten เจ้าของคราฟท์เบียร์: ชิตเบียร์ คุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการบริหาร บริษัท โฉลกดอทคอม จํากัด Founder Right Shift ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณพล หงสกุลวสุ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“ภายใต้การนำของทรัมป์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ Crypto President ด้วยนโยบายที่สนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมคริปโทฯ อย่างเต็มที่ ทำให้อเมริกาใกล้เคียงที่จะกลายเป็น Crypto Capital ของโลกหากสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะถือครองบิตคอยน์เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ (Strategic Reserve) นั้น จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ที่อาจพิจารณาเปลี่ยนจากการใช้ดอลลาร์สหรัฐฯ มาเป็นบิตคอยน์ในการสำรองเงินตราต่างประเทศแทน เนื่องจากบิตคอยน์มีความเป็นสากล ไม่ผูกติดกับประเทศใดประเทศหนึ่ง และมีความเสถียรในการรักษามูลค่าเทียบเคียงได้กับทองคำ
เมื่อสหรัฐฯ ก้าวเข้าสู่ยุคของบิตคอยน์ บริษัทขนาดใหญ่และบริษัทมหาชนทั่วโลกก็อาจหันมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลชนิดนี้มากขึ้น ประเทศไทยในฐานะส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก จึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเงินโลกนี้ หากประเทศไทยไม่ปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ อาจตกขบวนและเสียโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนบิตคอยน์อย่างจริงจัง ยังส่งสัญญาณไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศที่ต้องการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ ให้หันมาให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดขึ้นของระบบการเงินโลกใหม่ที่กระจายอำนาจมากขึ้น
ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับบิตคอยน์และเทคโนโลยีบล็อกเชนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพราะหากพลาดโอกาสในการเรียนรู้และปรับตัว อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในระยะยาว”
“Understanding Bitcoin” โดย คุณศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ กรรมการสมาคม สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และผู้ก่อตั้ง Bitcast
“บิตคอยน์มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็น “เงิน” ได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (medium of exchange), หน่วยนับค่า (unit of account), หรือแม้แต่การเก็บสะสมมูลค่า (store of value) นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็นหน่วยที่เล็กกว่า แต่สิ่งที่แตกต่างจากสกุลเงินทั่วไปคือ บิตคอยน์ไม่จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากรัฐบาลใดๆ
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของบิตคอยน์คือความหายาก (scarcity) ซึ่งเปรียบเสมือนทองคำในยุคดิจิทัล ด้วยจำนวนบิตคอยน์ที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้มูลค่ามีความเสถียรและน่าสนใจสำหรับนักลงทุน นอกจากนี้ ยังเป็นเทคโนโลยีแรกที่สามารถสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ไม่สามารถคัดลอกหรือปลอมแปลงได้ และที่สำคัญคือไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานกลางในการควบคุม โดยสามารถดำเนินการธุรกรรมได้ด้วยตัวเองผ่านระบบบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูง
อีกทั้ง บิตคอยน์เป็นเทคโนโลยีแรกที่สร้างระบบการเงินแบบดิจิทัลแบบทั่วถึง (peer-to-peer) ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างเสรี โดยใช้ private key เป็นตัวพิสูจน์ตัวตน ทำให้การทำธุรกรรมมีความปลอดภัยและโปร่งใส
แม้ว่าราคาของบิตคอยน์จะมีความผันผวนสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบิตคอยน์ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง ความผันผวนของราคาบิตคอยน์ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยาของผู้ลงทุนมากกว่าปัจจัยพื้นฐานของเทคโนโลยีเอง ในอนาคต บิตคอยน์มีศักยภาพที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (cyber economy) ซึ่งจะนำมาซึ่งความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในการทำธุรกรรมทางการเงิน”
นอกจากนี้ ภายในงานยังมี Networking และ Web3.0 Community talk เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้า ร่วมได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และผู้ประกอบการในวงการบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ใกล้ชิด สร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง และนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นร่วมกัน และเชื่อมั่นว่างานในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมบล็อกเชน และสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
1481