สนค.วิเคราะห์ตลาดนอร์ดิก พบสินค้าไทยหลายรายการ มีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น
สนค. วิเคราะห์สินค้าไทยที่มีโอกาสในการเจาะตลาดนอร์ดิก พบ 'ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า' และ 'กลุ่มเครื่องปรับอากาศ' เป็นสินค้าดาวเด่น ‘ยางยานพาหนะ’ และ ‘อาหารสุนัขและแมว’ เป็นสินค้าศักยภาพ ส่วน ‘ก่’และ’อาหารทะเลกระป๋อง’ เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง แต่ไทยยังเข้าถึงตลาดได้น้อย ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์ตลาดนอร์ดิก 5 ประเทศ ได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ เพื่อหาโอกาสสำหรับการเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติมตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์
โดยเน้นตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังมีมูลค่าการค้ากับไทยไม่มากนัก และเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทยที่จะหาโอกาสขยายการค้าในตลาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยพบว่า ปัจจุบันไทยส่งออกไปยังตลาดนอร์ดิกได้ไม่มาก แต่สินค้าไทยยังมีโอกาสเข้าถึงตลาดนอร์ดิกได้เพิ่มขึ้น มีสินค้าที่มีศักยภาพและโอกาสเจาะตลาดในกลุ่มประเทศนอร์ดิกจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าดาวเด่น สินค้าศักยภาพ และสินค้าแนะส่งเสริม
โดยสินค้าดาวเด่น เป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยในกลุ่มประเทศนอร์ดิกที่มีแนวโน้มเติบโตดี สะท้อนว่าตลาดยังมีความต้องการสูง โดยในปี 2565 ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า สัดส่วนร้อยละ 9.9 ของสินค้าส่งออกไทยไปนอร์ดิกทั้งหมด เพิ่มร้อยละ 381.2 และส่งออกเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สัดส่วนร้อยละ 15.1 เพิ่มร้อยละ 54.0 และในช่วง 7 เดือนปี 2566 การส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยยังคงเติบโต
โดยผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า สัดส่วนร้อยละ 14.6 ของสินค้าส่งออกไทยไปนอร์ดิกทั้งหมด เพิ่มร้อยละ 0.8 และส่งออกเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สัดส่วนร้อยละ 11.8 เพิ่มร้อยละ 0.3 โดยในปี 2565 ไทยครองส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า ในตลาดนอร์ดิกอยู่ที่ร้อยละ 0.9 และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ที่ร้อยละ 15.9 ซึ่ง สนค. มองว่าสินค้าดังกล่าวยังมีโอกาสขยายการส่งออกและขยายส่วนแบ่งตลาดได้อีก
สำหรับ สินค้าศักยภาพ เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ แต่มีส่วนแบ่งของไทยในตลาดนอร์ดิกต่ำกว่าส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลก ได้แก่ ยางยานพาหนะ ซึ่งในปี 2565 ไทยครองส่วนแบ่งในตลาดนอร์ดิกอยู่ที่ร้อยละ 1.4 เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกที่ร้อยละ 7.7
ขณะที่การส่งออกในช่วง 7 เดือนของปี 2566 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 8.3 และอาหารสุนัขและแมว ซึ่งไทยครองส่วนแบ่งในตลาดนอร์ดิกอยู่ที่ร้อยละ 0.9 เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งของไทยในตลาดโลกที่ร้อยละ 11.9 ขณะที่การส่งออกในช่วง 7 เดือนของปี 2566 ลดลงร้อยละ 23.6
ส่วนสินค้าแนะส่งเสริม เป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการ แต่กลุ่มประเทศนอร์ดิกยังนำเข้าจากไทย ค่อนข้างน้อย หรือมูลค่าการนำเข้าจากไทยมีไม่ต่อเนื่อง จึงเป็นสินค้าไทยที่แนะนำให้เข้าไปเปิดตลาดใหม่ ได้แก่ ไก่และอาหารทะเลกระป๋อง แต่การเข้าสู่ตลาดใหม่ในสินค้าดังกล่าว เป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งจากคู่แข่งทางการค้าเดิมที่มีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างสูง และมาตรฐานสินค้าในกลุ่มประเทศที่ค่อนข้างสูงกว่ากลุ่มประเทศอื่น
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า จากผลการศึกษา ยังพบว่า เรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นที่ภาครัฐและผู้บริโภคชาวนอร์ดิกกำลังให้ความสำคัญ เพราะกลุ่มประเทศนอร์ดิกถือเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างสูง มีเป้าหมายร่วมกันในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
และจากผลการจัดอันดับ ‘ดัชนีผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม’ (Environmental Performance Index: EPI) ในปี 2565 พบว่า 3 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ได้แก่ เดนมาร์ก อันดับ 1 ฟินแลนด์ อันดับ 3 และสวีเดน อันดับ 5
สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การส่งออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่แสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าสินค้าดังกล่าวให้ความสำคัญและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การติดฉลากฉลากสิ่งแวดล้อมที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่ได้รับความน่าเชื่อถือ เป็นต้น จะมีส่วนสนับสนุนให้สินค้าไทยได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวนอร์ดิกได้ดี
“ตลาดนอร์ดิกเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามอง เพราะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงมาก แต่ไทยยังมีการค้ากับประเทศเหล่านี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้น ไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาดนี้ได้อีกมาก และไทยยังมีสินค้าที่มีศักยภาพหลายรายการที่มีโอกาสเข้าไปเจาะตลาดนอร์ดิกเพิ่มเติม
ซึ่งการวิเคราะห์โอกาสทางการค้านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยมองเห็นศักยภาพและโอกาสของตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกได้ชัดเจนขึ้น แต่กลุ่มประเทศนอร์ดิก มีเกณฑ์คุณภาพและมาตรฐานสินค้าที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศนี้ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย”นายพูนพงษ์กล่าว
ตลาดนอร์ดิก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงติดอันดับโลก โดยในปี 2565 นอร์เวย์ เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในกลุ่มประเทศนอร์ดิกอยู่ที่ 106,149 ดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และสูงกว่าไทย 15.4 เท่า แต่กลุ่มประเทศนอร์ดิก มีจำนวนประชากรน้อยกว่าไทย 2.6 เท่า โดยสวีเดน เป็นประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดในกลุ่มประเทศ
ซึ่งประชากรคิดเป็นร้อยละ 37.7 ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ (นอร์ดิกมีประชากรรวม 27.8 ล้านคน) สำหรับด้านการค้าระหว่างประเทศ แหล่งนำเข้าสำคัญของกลุ่มประเทศนอร์ดิก 3 ลำดับแรก คือ เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และจีน โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 31 คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด
ข้อมูลการส่งออกของไทยไปยังกลุ่มประเทศนอร์ดิก ในช่วง 7 เดือนของปี 2566 (ม.ค-ก.ค.) มีมูลค่ารวม 886.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทย ประเทศส่งออกหลัก ได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก โดยสินค้าส่งออกหลัก เช่น ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เป็นต้น