กลุ่มปิโตรเคมี Naphtha cracker ในเอเชียไม่ได้เปรียบ
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ข้อมูลของ International Energy Agency data (IEA) แสดงให้เห็นว่าปริมาณการส่งออกแนฟทาของรัสเซียยังทรงตัวที่ 530-600k บาร์เรล/วันในปี 67 เนื่องจากโรงกลั่นของรัสเซียสามารถเปลี่ยนเส้นทาง cargo จาก EU ไปเอเชีย หลังถูกคว่ำบาตรในปี 66 ซึ่งผู้ซื้อหลักได้แก่จีน, อินเดีย, สิงคโปร์และไต้หวัน
อีกทั้งฝ่ายวิเคราะห์ฯมองว่า ปริมาณการส่งออกแนฟทาที่ผันผวนรายเดือนในปีที่แล้ว เกิดจากการที่โรงกลั่นต้องหยุดการผลิตหลังถูกยูเครนโจมตีด้วยโดรนมากกว่าจะเกิดจากปัญหาด้านอุปสงค์ ขณะที่ไม่แน่ใจว่าแนฟทาจากรัสเซียจะเปลี่ยนเส้นทางกลับมายังยุโรปทั้งหมด หากรัสเซียและยูเครนบรรลุข้อตกลงหยุดยิง เนื่องจากความต้องการแนฟทาในยุโรปเริ่มเข้าสู่ขาลงมาตั้งแต่ปี 66 จากการปิดตัวลงของ Naphtha cracker
นอกจากนี้ ข้อมูลของ IEA ระบุว่า แนฟทาจากรัสเซียมีราคาต่ำกว่าราคาตลาดในเอเชียประมาณ 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 4/67 แสดงว่า Naphtha cracker ในเอเชียที่ใช้วัตถุดิบแนฟทาจากรัสเซียจะมีความได้เปรียบด้านต้นทุน อย่างไรก็ตาม อัตราการผลิตของ Naphtha cracker ในเอเชียยังอยู่ในระดับต่ำที่ 80% ในปี 66-67 เพราะต้นทุนแนฟทาที่ถูกลงยังไม่พอชดเชยราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัว
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า สเปรด PE (polyethylene-)-แนฟทาและ PP (polypropylene)-แนฟทาในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 150-170 เหรียญสหรัฐ/ตันในเดือนม.ค.-ก.พ. 68 เป็น 179 เหรียญสหรัฐ/ตันในเดือนมี.ค. 68 เพราะมีการหยุดผลิตนอกแผนหลายครั้งในเกาหลีใต้และอาเซียน แต่ผลดีส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของสเปรด PP/PP จะหักลบกับราคาที่ลดลงของผลิตภัณฑ์พลอยได้อย่างเบนซีนและบิวทาไดอีน ซึ่งมีราคาลดลงจาก 896 เหรียญสหรัฐ/ตันและ 1,360 เหรียญสหรัฐ/ตันในเดือนม.ค.68 เป็น 869 เหรียญสหรัฐ/ตันและ 1,330 เหรียญสหรัฐ/ตันในเดือนก.พ.-มี.ค.68 ตามลำดับ
ดังนั้น สเปรด PE/PP โดยรวมในอาเซียนจึงยังต่ำกว่าต้นทุนเงินสดที่ 167 เหรียญสหรัฐ/ตัน QTD ในไตรมาส 1/68 แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 150 เหรียญ สหรัฐ/ตันในไตรมาส 4/67 ขณะเดียวกัน Naphtha cracker ส่วนใหญ่ในเอเชียยังมีอัตราการผลิตต่ำกว่ากำลังการผลิต รวมถึง cracker 6 แห่งในเกาหลีใต้ (5.2mtpa) และ cracker 1 แห่งของ PTTGC (ต้องส่งอีเทนไป ให้กับ Ole 3 cracker) ขณะที่โครงการ Long Son Petrochemical ของ SCC ยังออฟไลน์ แม้ว่าวัตถุดิบ LPG (ก๊าซปิโตรเลียมเหลว) จะมีราคาถูกกว่าแนฟทา
นอกจากนี้ คาดว่า PE/PP-แนฟทาในอาเซียน อาจเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติมในไตรมาส 2/68 จากการเปิดดำ เนินงานโรงงาน PE/PP ใหม่ในจีน และเนื่องจากมีคอนเทนเนอร์เปล่าเพิ่มขึ้นที่ท่าเรือของสหรัฐฯ จึงมองว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะส่งออก PE ไปจีนเพิ่มขึ้นก่อนที่หน่วยงานรัฐของจีนจะตัดสินใจตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า EBITDA จากธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ PTTGC และ IRPC อาจไม่เพิ่มขึ้น qoq ในไตรมาส 1/68 นี้ ขณะที่ Naphtha cracker สองแห่งในไทยของ SCC น่าจะยังมีขาดทุนสุทธิ แต่การที่บริษัทกลับมาเปิดหน่วยผลิต VCM (vinyl chloride monomer เป็นสารตั้งต้นในการผลิต PVC ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรให้กับ SCC) อาจทำให้ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCC มี EBITDA เติบโต qoq ในไตรมาส 1/68
ยังคงคำแนะนำ Underweight กลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากอุตสาหกรรมโอเลฟินส์ในเอเชีย น่าจะยังมีอุปทานเกินความต้องการในปี 68-69 และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน (ถ้ามี) น่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาอุปทานล้นตลาด ดังนั้นจึงมองว่าโรงกลั่นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในกลุ่มพลังงานของไทย โดยมี SPRC เป็นหุ้น Top pick ขณะที่ปัจจัยลบที่กดดันกลุ่มคือ อุปสงค์ที่อ่อนตัวของเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าโลกที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ส่วน upside risk จะมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม CGSI Report
3577