หมวดหมู่: พาณิชย์

1aอรมน ทรัพย์ทวีธรรม


กรมเจรจาฯ แจ้งข่าวดี อินโดนีเซียพร้อมใช้ RCEP 2 ม.ค.66 เพิ่มโอกาสค้าขาย ผลิต ส่งออก

     กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศแจ้งข่าวดี อินโดนีเซียยื่นสัตยาบันความตกลง RCEP แล้ว มีผลบังคับใช้วันที่ 2 ม.ค.66 เผยมีการเปิดตลาดเพิ่มเติม ทั้งเนื้อสัตว์ นม ประมง อาหารแปรรูป เครื่องนุ่งห่ม เหล็ก เครื่องจักรกล เครื่องปรับอากาศ และเครื่องจักรกลการเกษตร ระบุยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเพิ่มโอกาสในการเลือกใช้วัตถุดิบมาผลิตสินค้า และส่งออกในตลาด RCEP ได้ดีขึ้น

      นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2565 ที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้ยื่นสัตยาบันสารความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนเรียบร้อยแล้ว ทำให้ความตกลง RCEP จะพร้อมใช้บังคับกับอินโดนีเซีย ในวันที่ 2 ม.ค.2566 ซึ่งนับเป็นประเทศที่ 14 ต่อจากบรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา สปป.ลาว สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เมียนมา เกาหลีใต้ และมาเลเซีย

      ทั้งนี้ แม้อินโดนีเซียจะยกเว้นการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าส่งออกจากไทย เกือบทุกรายการสินค้า หรือประมาณ 99% ภายใต้ความตกลง FTA ระหว่างอาเซียน 10 ประเทศ แต่ภายใต้ความตกลง RCEP อินโดนีเซียได้ยกเว้นภาษีเพิ่มเติมกว่าที่เปิดตลาดภายใต้ความตกลงที่อาเซียนกับคู่ค้าสำคัญ เช่น อาเซียน-จีน อาเซียน-ญี่ปุ่น อาเซียน-เกาหลี และอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ทั้งกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม อาทิ เนื้อสัตว์ นม สินค้าประมง อาหารแปรรูป เครื่องนุ่งห่ม เหล็ก เครื่องจักรกล เครื่องปรับอากาศ และเครื่องจักรกลการเกษตร

     “เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะสามารถเลือกใช้วัตถุดิบจากอินโดนีเซีย ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังตลาด RCEP โดยใช้เงื่อนไขการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าของ RCEP และไทยสามารถนำวัตถุดิบจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้า เพื่อส่งไปอินโดนีเซีย โดยใช้ประโยชน์จากการลดและยกเว้นภาษีภายใต้ RCEP ได้”นางอรมนกล่าว

      สำหรับ ความตกลง RCEP เป็นความตกลงฉบับแรกของอาเซียนที่มีการจัดทำกฎถิ่นกำเนิดสินค้าทุกรายการสินค้า ทำให้กฎมีความชัดเจน สะท้อนกระบวนการผลิตสินค้าที่แท้จริง และยืดหยุ่นมากขึ้นกว่ากฎถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลง FTA ที่ผ่านมาของอาเซียน จึงจะช่วยสนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการทำการค้าของผู้ประกอบการ และเพิ่มโอกาสที่จะขยายเครือข่ายการผลิตและการกระจายสินค้าภายในภูมิภาค ตลอดจนเชื่อมโยงสินค้าและบริการของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าในภูมิภาคและโลกได้มากขึ้น จึงทำให้ความตกลง RCEP เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกและภูมิภาคหลังโควิด-19

      ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 3 ของไทยในอาเซียน และเป็นอันดับที่ 7 ของไทยในโลก โดยในช่วง 9 เดือนของปี 2565 (ม.ค.–ก.ย.) การค้าระหว่างไทยและอินโดนีเซีย มีมูลค่า 15,790 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 3.45% ของการค้ารวมของไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปอินโดนีเซีย มูลค่า 8,225 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำตาลทราย เม็ดพลาสติก เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ และไทยนำเข้าจากอินโดนีเซีย มูลค่า 7,565 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าที่สำคัญ อาทิ ถ่านหิน น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และสินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์

 

Click Donate Support Web  

 

EXIM One 720x90 C J

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

PTG 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100px

ais 720x100

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!