หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้

16


ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้ อาจถูกกดดันจากแรงขายทำกำไร หลังเงินดอลลาร์แข็งค่า-ไร้ปัจจัยผลักดันใหม่

     นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะเผชิญแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร อันเนื่องมาจากเงินดอลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น และตลาดบ้านเราก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาผลักดันให้ผ่าน 1,650 จุดไปได้ ทำให้ดัชนีฯมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงมาทดสอบแนวรับ 1,630 จุด

       นอกจากนี้ ตลาดในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็ปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าบรรยากาศการเก็งกำไรจะเป็นบวกต่อตลาดฯ แต่ดัชนีฯมีโอกาสที่จะซึมลง

       พร้อมให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)ในวันนี้ โดยดูว่าจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายหรือไม่ และให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ประกาศในวันนี้ด้วยเช่นกัน เพราะจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งให้ติดตามตัวเลขการส่งออกของหลายประเทศในภูมิภาคช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งรวมถึงไทยก็มีโอกาสที่จะขาดดุลการค้าด้วย

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ก.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,158.18 จุด เพิ่มขึ้น 39.32 จุด (+0.18%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,460.19 จุด เพิ่มขึ้น 5.91 จุด (+0.09%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,498.37 จุด เพิ่มขึ้น 1.89 จุด (+0.08%)

                - ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 5.45 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.68 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 105.24 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 1.11 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.36 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.20 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.07 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 19.36 จุด

                - ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ก.ย.60) 1,642.94 จุด ลดลง 0.61 จุด (-0.04%)

                - นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 963.93 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ก.ย.60

                - ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ก.ย.60) ปิดที่ 49.30 ดอลลาร์/บาร์เรล  เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 2.2%

                - เงินบาทเปิด 33.14 อ่อนค่าจากวานนี้ นลท.จับตาผลประชุม BoE-ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนนี้

                - 'สรรพสามิต' แย้ม โครงสร้างภาษี 'สุรา-บุหรี่-ไวน์' ปรับขึ้น ยกแผงทั้งมูลค่าและปริมาณ 10-30% บุหรี่นำเข้าราคาพุ่งเกือบ 200 บาทต่อซอง ขณะเหล้าขาวคาดปรับขึ้นเล็กน้อย อธิบดีสรรพสามิตยอมรับปรับขึ้นภาษีบุหรี่ แต่ไม่สูงถึงซองละ 30 บาท ผอ.โรงงานยาสูบชี้กระทบ 2 เด้งทั้งภาษีสรรพสามิต และ ภาษีมหาดไทย เตรียมปรับขึ้นราคาขาย

                - 'ฟิทช์' คงอันดับเครดิตประเทศไทย BBB+ ระบุเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น แต่ระยะปานกลางยังเผชิญความท้าทายจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง ทั้งโครงสร้างประชากรเริ่มเข้าสู่วัยชรามากขึ้น มองแนวโน้มเศรษฐกิจโตต่ำ ไร้ปัจจัยหนุนปรับเรทติ้งเพิ่ม

                - รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างนำนายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (เมติ) ประเทศญี่ปุ่น และนักลงทุนชาวญี่ปุ่นประมาณ 500 ราย ลงพื้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา และท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ว่า หลังจากการมีข้อตกลงทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ จะทำให้การลงทุนในอีอีซีขยายตัวมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2561 จะมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท

                - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยขณะนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มมีปัญหารายได้จากค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) ที่ลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ทำธุรกิจได้ยากลำบากขึ้น ทั้งจากการขายประกันกับกองทุน การขายประกันผ่านระบบธนาคาร (แบงก์อินชัวร์รันส์) ที่ตลาดเริ่มอิ่มตัว ประกอบกับภาครัฐปรับเกณฑ์การขายใหม่ และให้ผลตอบแทนที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ย จึงทำให้ผู้บริโภคหันไปลงทุนด้านอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ที่สำคัญภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต การขอสินเชื่อต่าง ๆ ที่ลดลง ประกอบกับในยุคเทคโนโลยีดิจิตอลมีบริการใหม่ ๆ ทั้งพร้อมเพย์ กระเป๋าเงินมือถือที่มีค่าธรรมเนียมน้อยมากจากสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร และมีการลด แลก แจก แถม ก็ทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมลดลง

*หุ้นเด่นวันนี้

                - PRM (บมจ.พริมา มารีน) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดกลุ่มบริการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ โดยราคาขาย IPO 8.00 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมตามวิธี DCF ได้เท่ากับ 11.50 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2560-2563 โตเฉลี่ย 24% ต่อปี จากการขยายกองเรือจัดเก็บน้ำมันอีก 3 เท่าตัวซึ่งมีรายได้มั่นคงและอัตรากำไรสูง

                โดย PRM ถือเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและจัดเก็บน้ำมันที่มีกลุ่มลูกค้ามั่นคง เช่น PTT TOP PTTGC BCP ESSO ขณะที่ ภาวะอุตสาหกรรมขยายตัวตามปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศที่เพิ่มเฉลี่ย 5% ต่อปี

                - HANA (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 48 บาท แม้เงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง แต่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังแข็งแกร่งกว่าที่คาด จึงคาดผลกำไรของ HANA จะเติบโตได้ 15% ในปี 2561F จากฐานที่สูงในปี 2560F และจากการที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมากว่า 20% จากจุดสูงสุดที่ 55 บาท แต่อัตราตอบแทนเงินปันผลน่าสนใจที่ 5% ในปี 2561F

                - CBG (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 80 บาท ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มากมองเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อ ประสบผลสำเร็จจากการเปิดตลาดจีน ซึ่งจะเป็นลู่ทางที่ CBG จะเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต โดยปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายแล้ว 308 ราย มีจุดขายรวมกว่า 190,000 จุด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 จังหวัดในประเทศจีน

                - LH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 11.50 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลงมาหลังจากขึ้น XD (23 ส.ค.) ทำให้ราคาปัจจุบัน laggard ที่สุดในกลุ่มทั้งในรอบ 1 เดือน แนวโน้มกำไรยังเติบโตดีจาก Backlog ที่แกร่ง 1.47 หมื่นล้านบาท โอนปีนี้ 8 พันล้านบาท ที่เหลือโอนปี 2561-2562 สำหรับ 3Q60 จะมีกำไรพิเศษจากการประเมินมูลค่าเงินลงทุนใน LHBANK ขณะที่กำไรหลักก็ดีขึ้นตามยอดโอน  ส่วนกำไรสุทธิปี 2560 ที่คาดโตถึง 11% Y-Y เพราะรายการพิเศษซึ่งทำให้กำไรปี 2561 ลดลง 7% Y-Y เป็น 8.9 พันล้านบาท แต่ก็เป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ ปัจจุบัน PE ที่ 12 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 14-15 เท่า

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน

                ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะมีการเปิดเผยในช่วงเช้าวันนี้

                ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 19,860.37 จุด ลดลง 5.45 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,383.47 จุด ลดลง 0.68 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,788.84 จุด ลดลง 105.24 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,533.99 จุด เพิ่มขึ้น 1.11 จุด

                ส่วนดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,365.54 จุด เพิ่มขึ้น 5.36 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,229.16 จุด ลดลง 1.20 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,786.14 จุด เพิ่มขึ้น 0.07 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,073.24 จุด เพิ่มขึ้น 19.36 จุด

                ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่จีนจะเปิดเผยในวันนี้ประกอบด้วย ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนส.ค. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ฟุตซี่ปิดลบ 20.99 จุด ด้วยแรงฉุดหุ้นกลุ่มเหมืองแร่

            ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) ด้วยแรงฉุดจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ลดช่วงลบในระหว่างวัน ด้วยอานิสงส์จากการที่ค่าสกุลเงินปอนด์ร่วงลง ภายหลังจากที่อังกฤษเปิดเผยข้อมูลอัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

                ดัชนี FTSE 100 ลดลง 20.99 จุด หรือ -0.28% แตะที่ 7,379.70 จุด

                ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงตามทิศทางของราคาแร่โลหะที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นอันโตฟากาสตา ร่วงลง 3.9% หุ้นเฟรสนิลโล ร่วง 3.6% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ลดลง 3.2%

                อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ปรับตัวขึ้นจากอานิสงส์เงินปอนด์อ่อนค่า ภายหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ค่าแรงของคนงานในอังกฤษปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.1% ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.3% โดยค่าเงินปอนด์ร่วงหลุดระดับ 1.33 ดอลลาร์ หลัง ONS เผยรายงานดังกล่าว

                นักลงทุนจับตานายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งมีกำหนดจะแถลงนโยบายการเงินในวันนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า BoE จะมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.25%

                หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นอีซีเจ็ท ขยับขึ้น 0.7% หลังสายการบินชั้นประหยัดดังกล่าวเปิดเผยแผนที่จะขยายบริการเที่ยวบินเชื่อมต่อเส้นทางการบินระยะไกลสู่เมืองต่างๆในสหรัฐและประเทศอื่นๆ

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป : แรงขายหุ้นเหมืองแร่ ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ

                ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเหมืองแร่ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มซัพพลายเออร์ของบริษัทแอปเปิล อิงค์ ร่วงลง หลังจากแอปเปิลประกาศเปิดตัว "ไอโฟนเท็น (iPhone X)" ซึ่งนักลงทุนมองว่ามีราคาแพงและมีกำหนดวางจำหน่ายล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

       ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.08 จุด ปิดที่ 381.34 จุด

       ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,379.70 จุด ลดลง 20.99 จุด หร่อ -0.28% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,553.57 จุด เพิ่มขึ้น 28.80 จุด หรือ +0.23% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,217.59 จุด เพิ่มขึ้น 8.58 จุด หรือ +0.16%

    หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง ตามทิศทางราคาโลหะส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นอันโตฟากัสตา ดิ่งลง 3.9% หุ้นเฟรสนิลโล ร่วงลง 3.6% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 3.2%

      หุ้นซัพพลายเออร์ของบริษัทแอปเปิล อิงค์ ร่วงลง หลังจากแอปเปิลประกาศเปิดตัว 'ไอโฟนเท็น' เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปีของการผลิตไอโฟน โดยไอโฟนเท็นมีราคาตั้งต้นที่ 999 ดอลลาร์ และจะมีการวางจำหน่ายในวันที่ 3 พ.ย. อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การที่บริษัทแอปเปิลกำหนดเวลาการวางจำหน่ายไอโฟนเท็นในวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งล่าช้ากว่าการวางจำหน่ายไอโฟน 8 และไอโฟน 8 พลัส จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลประกอบการในไตรมาส 4 ของแอปเปิล

     ทั้งนี้ หุ้นไดอะล็อก เซมิคอนดัคเตอร์ ร่วงลง 1.6% และหุ้นเอเอ็มเอส ดิ่งลง 3.9%

       สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ค่าแรงของคนงานในอังกฤษเพิ่มขึ้น 2.1% ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้านี้ แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.3%

      นักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่ค่าแรงเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดนั้น จะลดความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้

      ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางอังกฤษในวันนี้อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ธนาคารกลางได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์ รวมทั้งคงวงเงินซื้อหุ้นกู้ในภาคเอกชนที่ระดับ 1 หมื่นล้านปอนด์ ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดบวก 39.32 จุด รับความหวังแผนปฏิรูปภาษี,หุ้นพลังงานพุ่ง

      ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) โดยดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 2% นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีได้เป็นผลสำเร็จภายในปีนี้

     ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,158.18 จุด เพิ่มขึ้น 39.32 จุด หรือ +0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,498.37 จุด เพิ่มขึ้น 1.89 จุด หรือ +0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,460.19 จุด เพิ่มขึ้น 5.91 จุด หรือ +0.09%

      หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.5% ขณะที่หุ้นซีดริลล์ ทะยานขึ้น 20% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ ขานรับรายงานล่าสุดของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งระบุว่า อุปทานน้ำมันดิบทั่วโลกเริ่มปรับตัวลดลง พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกสำหรับทั้งปี 2560 ขึ้นสู่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ เพิ่มขึ้น 1.7%

       นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้แสดงความมั่นใจว่า ปธน.ทรัมป์จะสามารถผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี โดยในสัปดาห์หน้านี้จะมีการเปิดเผยกรอบเวลาในการปฏิรูปภาษี ซึ่งจะสะท้อนถึงฉันทามติของผู้ร่างแผนปฏิรูปภาษีในสภาคองเกรส และรัฐบาลของปธน.ทรัมป์

       ทางด้านนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลสหรัฐจะผลักดันการปฏิรูปภาษีให้ประสบผลสำเร็จภายในปีนี้ พร้อมกับเปิดเผยว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์กำลังพิจารณาให้การปฏิรูปภาษีมีผลบังคับย้อนหลังไปถึงช่วงต้นปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ

      หุ้นเซ็นทรีน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพของสหรัฐ พุ่งขึ้น 8% หลังจากเซ็นทีนบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการบริษัทฟิเดลิส แคร์ มูลค่า 3.75 พันล้านดอลลาร์

     หุ้นนอร์ดสตรอม ห้าค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6% ขานรับแผนการระดมทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

       อย่างไรก็ตาม หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.8% เนื่องจากนักลงทุนมองว่า 'ไอโฟนเท็น (iPhone X)'มีราคาแพง และการวางจำหน่ายในวันที่ 3 พ.ย.นั้น ถือว่าล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

      ทั้งนี้ นายทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอปเปิล อิงค์ ประกาศเปิดตัว 'ไอโฟนเท็น' เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปีของการผลิตไอโฟน โดยไอโฟนเท็นมีราคาตั้งต้นที่ 999 ดอลลาร์ และจะมีการวางจำหน่ายในวันที่ 3 พ.ย. อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การที่บริษัทแอปเปิลกำหนดเวลาการวางจำหน่ายไอโฟนเท็นในวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งล่าช้ากว่าการวางจำหน่ายไอโฟน 8 และไอโฟน 8 พลัส จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลประกอบการในไตรมาส 4 ของแอปเปิล

      สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐซึ่งมีผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนก.ค. โดยการดีดตัวของดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้น 9.5% ของราคาน้ำมันเบนซิน

      นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

      อินโฟเควสท์

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!