หมวดหมู่: แรงงาน

TFFAPoj Aramwattananont


สภาหอการค้า เตือนนายจ้างเร่งขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวใกล้หมดเขต 7 ส.ค.หลังพบยอดยังต่ำ

    สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุผลการร่วมสังเกตการณ์ภายหลังมีการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวเพื่อให้ผู้ที่ใช้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ที่ผิดกฎหมายทั่วประเทศมายื่นแสดงความจำนงหลักจาก พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่ายังมีผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปมายื่นความจำนงในการใช้แรงงานต่างด้าวจำนวนไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพความเป็นจริง

     นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาหอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือในการผลักดันให้ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไปที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าว เช่น แม่บ้าน, ลูกจ้างตามร้านค้าแผงลอย มาแสดงเจตจำนงในการขอใช้แรงงานต่างด้าวตามที่ระยะเวลากฎหมายกำหนด

      "ขอเตือนนายจ้างหรือใครก็ตามที่ใช้แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย หรือมีเอกสารอนุญาตทำงานที่ยังไม่ถูกต้อง ให้รีบมาทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 ส.ค. ถ้าใครไม่มาขึ้นทะเบียน เชื่อว่ารัฐบาลคงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด" นายพจน์ กล่าว

      พร้อมระบุว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงานมีความตั้งใจที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาแรงงานของประเทศไทยอย่างบูรณาการ และพัฒนาแรงงานของประเทศไทยในทุกรูปแบบ ซึ่งคาดหวังว่าในปี 61 รายงานประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เรื่อง สถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) จะดีขึ้นตามลำดับ

      นายสมบัติ นิเวศรัตน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า หลังจากกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ กระทรวงแรงงานได้เปิดศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มี 11 ศูนย์ โดยผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-3 ส.ค. พบว่ามีนายจ้างมายื่นคำขอแล้ว 113,374 ราย โดยมายื่นที่ศูนย์ฯ 104,415 ราย และลงทะเบียนออนไลน์ 8,959 ราย เป็นลูกจ้างต่างด้าว 396,390 คน แยกเป็นกัมพูชา 107,504 คน, ลาว 54,144 คน, เมียนมา 234,742 คน

      ทั้งนี้ ประเภทกิจการที่มีการยื่นคำขอสูงสุด 5 อันดับแรก คือ เกษตรและปศุสัตว์ 91,570 คน รองลงมาคือ กิจการก่อสร้าง 77,917 คน, จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม 36,667 คน, การให้บริการต่างๆ 28,983 คน และกิจการต่อเนื่องจากเกษตร 25,268 คน โดยจังหวัดที่มีมาแจ้งมากที่สุด 5 อันดับ คือ กรุงเทพฯ 84,957 คน รองลงมาคือ สมุทรปราการ 22,974 คน,ระยอง 19,821 คน, ปทุมธานี 19,571 คน และเชียงใหม่ 16,325 คน

      ดังนั้น ขอให้นายจ้างหรือผู้ใดที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีเอกสารแสดงตน และเอกสารอนุญาตการทำงานอยู่ในปัจจุบันให้รีบมาดำเนินการตามที่กำหนด และย้ำว่าการดำเนินการในรอบนี้ ไม่ใช่เป็นการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่เหมือนเช่นกลุ่มบัตรสีชมพูที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลไม่ได้มีนโยบายเปิดจดทะเบียนรอบใหม่แต่อย่างใด รวมทั้งจะไม่มีการขยายระยะเวลาออกไปจากวันที่ 7 ส.ค.นี้

       "อยากสื่อไปยังนายจ้างทุกกิจการที่มีคนต่างด้าวมาทำงานโดยผิดกฎหมาย หรือที่ยังดำเนินการไม่ถูกต้อง ให้เข้ามาแจ้งสถานะของแรงงานต่างด้าวได้ที่ศูนย์ฯ ซึ่งวันที่ 7 ส.ค.นี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้ว เราจะอำนวยความสะดวกให้เร็วและดีที่สุด ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่าจะมาวันละ 2 พันคน แต่พบว่ามาจริงๆ แค่วันละ 700-800 คนเท่านั้น" รองอธิบดีกรมการจัดหางานระบุ

        นายสมบัติ กล่าวว่า นายจ้างสามารถให้ผู้อื่นยื่นแทนได้ หรือยื่นทางอินเตอร์เน็ต โดยหลักฐานที่ใช้มีเพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนนายจ้าง หรือสำเนาหนังสือจดทะเบียนนิติบุคคลกรณีนายจ้างเป็นนิติบุคคล รูปถ่ายลูกจ้างต่างด้าว ขนาด 2 นิ้ว 3 รูป และแบบคำขอจ้างคนต่างด้าว จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนัดวัน เวลา เพื่อให้นายจ้างพาลูกจ้างไปตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง ถ้าพบเป็นนายจ้างลูกจ้างจริง เจ้าหน้าที่จะออกหนังสือรับรองเพื่อไปตรวจสัญชาติแล้วมาขออนุญาตทำงานต่อไป

       การตรวจาสัญชาติแต่ละสัญชาติจะมีข้อปฏิบัติดังนี้ สัญชาติกัมพูชา ทางการกัมพูชากำหนดเข้ามาตรวจสัญชาติที่ประเทศไทยที่ จ.ระยอง สงขลา และกรุงเทพฯ ในเดือน ส.ค.นี้ โดยจะให้บริการในรูปแบบ One Stop Service (OSS) ส่วนสัญชาติเมียนมา ดำเนินการตรวจสัญชาติในประเทศไทย 6 ศูนย์ 5 จังหวัด คือ สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, เชียงราย, ตาก และระนอง ขณะที่สัญชาติลาว แรงงานจะต้องไปสถานทูตลาวหรือกงสุลลาวประจำประเทศไทย เพื่อขอเอกสารกลับไปประเทศลาวเพื่อทำหนังสือเดินทาง และกลับเข้ามาทำงานแบบ MOU

                        อินโฟเควสท์

จี้ตีทะเบียนต่างด้าว 7 ส.ค. สภาหอฯเตือนเดดไลน์ห้ามโวยหากรัฐเอาจริงหลังพ้นเส้นตาย

     ไทยโพสต์ : ราชบพิธ * สภาหอการค้าฯ เตือนนายจ้าง ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวภายในวันที่ 7 ส.ค.นี้เท่านั้น ชี้พ้นกำหนดจะมาร้องให้ช่วยอีกไม่ได้ หากรัฐดำเนินการตามกฎหมาย ห่วงกลุ่มที่ทำงานตามบ้าน ร้านค้า แผงลอย ขึ้นทะเบียนน้อยมาก ยอดรวมล่าสุด 3.96 แสนคน กัมพูชานำโด่ง

      นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการแรง งานและพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยขอเตือนนายจ้าง หรือผู้ที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย หรือมีเอกสารอนุญาตทำงานไม่ถูกต้อง ให้รีบดำเนินการพาลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวทั้งจากกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว มาขึ้นทะเบียนตามศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวให้เสร็จภายในวันที่ 7 ส.ค.นี้

        เพราะหากไม่มาขึ้นทะ เบียน และรัฐบาลดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ภาคเอกชนคงไม่มีอะไรมาช่วยเรียกร้องได้อีกแล้ว

        "ภาคเอกชนยืนยันที่จะ สนับสนุนการประกาศใช้ พ.ร.ก. บริหารจัดการแรงงานต่างด้าว ของรัฐบาล เพื่อสร้างความมั่น คง ปลอดภัยและมีเสถียรภาพ เพราะถ้าไม่ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว จะไม่รู้ว่ามีแรงงานต่างด้าวที่แท้จริงในประเทศไทยกี่คน อยู่ที่ไหนกันบ้าง แต่ถ้ามีการขึ้นทะเบียนทั้งหมด จะทำให้ในปี 2561 รายงานประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เรื่องสถานการณ์การค้ามนุษย์ของไทยจะดีขึ้น" นายพจน์กล่าว

       ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนแรง งานต่างด้าวปัจจุบัน มีจุดที่น่ากังวลอยู่คือ การขึ้นทะเบียนของ แรงงานต่างด้าวกลุ่มการให้บริการต่างๆ เช่น แรงงานที่ทำ งานตามบ้าน กลุ่มลูกจ้างตามร้านค้า แผงลอย ที่ยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับความเป็นจริงทั่วไปที่เห็นกันอยู่ ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าลูกจ้างกลุ่มนี้ต้องมาขึ้นทะเบียน

      ส่วนเรื่องของระยะเวลาที่เปิดให้ยื่นคำขอลงทะเบียน เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ขยายเวลาเพิ่มให้อีก เพราะเวลาที่ให้มา ถือว่าเพียงพอสำหรับนายจ้างที่มีลูกจ้างเป็นแรงงานต่างด้าวรายเก่าแล้ว เพราะหากขยายเวลาให้มากกว่านี้ อาจเป็นการเปิดโอกาสให้มีการนำแรงงานต่างด้าวคนใหม่ๆ เข้ามา

        นายสมบัติ นิเวศรัตน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า หลังจากกฎหมายแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ กระทรวงแรงงานได้เปิดศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มี 11 ศูนย์ มีผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-3 ส.ค. มีนายจ้างมายื่นคำขอแล้ว 1.13 แสนราย เป็นลูกจ้างต่างด้าว 3.96 แสนคนแยกเป็นกัมพูชา 1.07 แสนคน สปป.ลาว 5.41 หมื่นคน และ เมียนมา 2.34 แสนคน

      โดยประเภทกิจการที่มีการยื่นคำขอสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เกษตรและปศุสัตว์ 9.15 หมื่นคน รองลงมา คือ กิจการก่อสร้าง 7.79 หมื่นคน จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม 3.66 หมื่นคน การให้บริการต่างๆ 2.89 หมื่นคน และกิจการต่อเนื่องจากเกษตร 2.52 หมื่นคน และจังหวัดที่มีมาแจ้งมากที่สุด 5 อันดับ คือ กรุงเทพฯ 8.49 หมื่นคน รองลงมา คือ สมุทรปราการ 2.29 หมื่นคน ระยอง 1.98 หมื่นคน, ปทุมธานี, 1.95 หมื่นคน และเชียงใหม่ 1.63 หมื่นคน.บรรยายใต้ภาพ

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!