หมวดหมู่: บริหาร-จัดการ

'ธนินท์ เจียรวนนท์' ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ แสดงวิสัยทัศน์บนเวทีระดับโลก'Nikkei Asia 300 Global Business Forum'

     'ธนินท์ เจียรวนนท์'ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ แสดงวิสัยทัศน์บนเวทีระดับโลก'Nikkei Asia 300 Global Business Forum'มองเศรษฐกิจโลก และการลงทุนในอาเซียน ชี้โลกก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ถือเป็นโอกาสของอาเซียน 10 ประเทศต้องก้าวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ยกไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ชูเทคโนโลยีหัวใจสำคัญขับเคลื่อนธุรกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตคนให้สูงขึ้น


       นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์หัวข้อ Global alliances for a global age ในงานสัมมนาระดับโลก The Nikkei Asia 300 Global Business Forum ที่มีผู้บริหารชั้นนำจากประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย มาร่วมให้ความเห็นด้านเศรษฐกิจ และอนาคตของภูมิภาค จัดขึ้นที่ประเทศไทย โดย นิกเคอิ (Nikkei) สื่อชั้นนำของญี่ปุ่นในโอกาสฉลองครบรอบ 140 ปีของการก่อตั้ง  

      ในการนี้ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ได้แสดงวิสัยทัศน์โดยชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวภายใต้จุดแข็งของประเทศผู้นำเศรษฐกิจโลก อุตสาหกรรมก้าวสู่ยุค 4.0 เป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตของอาเซียน ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค

      “ประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวด้วยจุดแข็งของแต่ละประเทศ นำโดยสหรัฐอเมริกาที่มีจุดแข็งด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า มีกฎหมายคล่องตัว ประเทศที่จะฟื้นตัวได้เป็นลำดับต่อมาคือญี่ปุ่น ซึ่งโดดเด่นด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ่นยนต์ ไบโอเทคโนโลยี และเวชภัณฑ์ และสินค้าคุณภาพ ทั้งยังมีการลงทุนไปทั่วโลกมากที่สุดโดยเฉพาะในอาเซียน หากปรับเรื่องกฏหมายด้านการลงทุนให้คล่องตัวกว่านี้ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่ดี ญี่ปุ่นก็สามารถมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำใกล้เคียงสหรัฐอเมริกา ส่วนจีนจะเป็นประเทศที่ 3 ที่จะฟื้นเร็ว และมีโอกาสอีกมากที่จะเติบโต ถ้าเปรียบเทียบกับอายุของมนุษย์ เศรษฐกิจของจีนกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม และสภาพการเมืองนิ่ง สามารถทำอะไรได้ต่อเนื่อง” นายธนินท์ กล่าว 

      นอกจากนี้ นายธนินท์ ยังมีความเห็นว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ถือเป็นโอกาสอย่างยิ่งของอาเซียน ประเทศในอาเซียนต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะรับกับโอกาสที่เข้ามา  ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็จะไม่มีโอกาส 

       “ในอนาคตรถยนต์ต้องเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะทำให้มนุษย์จะมีความสุขมากขึ้น  ในเรื่องเกษตรและอาหาร ไม่ต้องกังวลว่าอาหารจะขาดแคลน เพราะจะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย บางทีจะสามารถผลิตสินค้าได้มากกว่าจำนวนประชากรโลกที่จะเพิ่มขึ้น” นายธนินท์ กล่าว

      ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ มองต่อไปว่าอนาคตอีคอมเมิร์ชจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น สร้างโอกาสที่จะทำให้เกิดการขายในอากาศ สินค้าในโลกนี้จะขายได้มากขึ้น ส่งผลให้เรื่องการผลิตมีความสำคัญและต้องผลิตให้ทันกับโลกที่ก้าวหน้า ต่อไปโลกเราจะใช้หุ่นยนต์มากขึ้น ไม่ต้องให้มนุษย์มาทำงานหนัก ต้องใช้มนุษย์ในเรื่องสมอง หรือ เรื่องที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้ ซึ่งถ้ามีหุ่นยนต์การผลิตของโลกจะเพิ่มขึ้น คนว่างงานจะไหลเข้าสู่ธุรกิจบริการ เพราะอนาคตธุรกิจบริการจะมีมากขึ้น 

     นายธนินท์ ย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ว่าจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงการทำงาน และการดำเนินธุรกิจที่ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น และเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างความสุขให้กับทุกคน

     สำหรับ ประเทศไทย นายธนินท์ มองว่ามีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางภูมิภาคได้ เพราะเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน รวมถึงจีนและอินเดีย ซึ่งขณะนี้ภาครัฐของไทยก็พยายามออกกฏหมายสนับสนุนด้านการลงทุนเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี หุ่นยนต์ และยานยนต์สมัยใหม่ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนโดยเฉพาะแผนการสร้างพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมกับพัฒนาสาธารณูปโภคและคมนาคมขนส่งที่ทันสมัยไว้รองรับ เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง และท่าอากาศยาน เป็นต้น

     “เครือเจริญโภคภัณฑ์ลงทุนจากเกษตรจนถึงโต๊ะอาหาร ภายใต้ห่วงโซ่อุปทานนี้มีโอกาสอีกมาก เพราะมนุษย์ยังต้องบริโภคอาหาร จะต้องใช้เทคโนโลยีและอีเลคโทรนิกส์ที่ก้าวหน้า มีการใช้หุ่นยนต์ และไบโอเทคโนโลยี  ดังเช่น โรงงานของเครือฯในยุโรปที่สามารถทำให้ผลิตอาหารเป็นจำนวนมาก” นายธนินท์ กล่าว

      ดังนั้น ในอนาคตหากประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านคนก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารจะขาดแคลน เพราะเทคโนโลยีในวันนี้จะทำให้ผลิตอาหารได้มากกว่าจำนวนประชากรที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเท่า  ซึ่งในเรื่องนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกค้นคว้าวิจัยด้านไบโอเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าการเกษตรและอาหารให้มีคุณภาพสูงขึ้น ไม่เพียงแค่สะอาด แต่จะช่วยให้มนุษย์มีสุขภาพดี อายุยืนยาวขึ้น และมีความสุขมากขึ้น 

    นอกจากนี้ นายธนินท์ ได้ปิดท้ายถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่พร้อมผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำระดับโลกลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต พร้อมตอกย้ำถึง นโยบาย 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนที่ยึดถือเป็นหัวใจสำคัญ คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในทุกประเทศที่ไปลงทุน และให้ความสำคัญต่อการสร้างผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีจริยธรรมเพื่อมาขับเคลื่อนเครือฯ สู่อนาคตได้อย่างยั่งยืน

     “เครือเจริญโภคภัณฑ์ จับมือเป็นพันธมิตรธุรกิจชั้นนำของโลกเพื่อขยายการลงทุนสู่เวทีการค้าโลกได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งการร่วมทุนไม่ใช่เพื่อต้องการให้มีเงินลงทุนมากขึ้น เพราะเงินทุนมีอยู่ทั่วโลก แต่หัวใจหลักก็คือการได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และความรู้ซึ่งหาได้ยาก เช่น การจับมือกับบริษัท อิโตชู คอร์ปอเรชั่น บริษัทการค้าชั้นนำของญี่ปุ่น ซึ่งท่านประธานของบริษัทเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจ ทำให้ได้เรียนรู้จากอิโตชู  สำหรับการลงทุนของเครือฯ ในประเทศต่าง ๆ ก็จะยึดหลัก 3 ประโยชน์ คือ เกิดประโยชน์กับประเทศที่ไปลงทุน เกิดประโยชน์ประชาชน หรือสังคมของประเทศที่ลงทุน และสุดท้ายถึงเป็นประโยชน์กับเครือฯ โดยการไปลงทุนในต่างประเทศของเครือฯ ไม่ได้มุ่งเน้นที่การใช้ฐานแรงงานหรือการประหยัดต้นทุนทางภาษี แต่มุ่งเติบโตไปกับประเทศนั้นๆ โดยไม่คิดว่าจะย้ายฐานการผลิต แต่จะสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไปช่วยเกษตรกร หรือประชาชนในประเทศนั้นๆ ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งก็จะถ่ายทอดนโยบายเหล่านี้สืบต่อไปยังผู้บริหารรุ่นใหม่ของเครือฯ ผ่านการจัดตั้งสถาบันผู้นำ เพื่อสร้างผู้นำคนรุ่นใหม่ของเครือฯให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลง มีการกระจายอำนาจการบริหาร และเป็นผู้บริหารที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม มีธรรมาภิบาล”

       นอกเหนือจากนายธนินท์ที่เป็นนักธุรกิจจากประเทศไทยที่ได้รับเกียรติแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีระดับโลกที่จัดโดยสำนักข่าวนิกเคอิ  ยังมีนักธุรกิจไทยอีก 2 ท่านที่ได้แสดงวิสัยทัศน์บนเวทีนี้ ได้แก่ นายชาติศิริ โสภณพนิช จากธนาคารกรุงเทพ ในหัวข้อ Assessing the ASEAN Economic Communitys Impact และ นายวิรัตน์ ศิริขจรกิจ กรรมการบริหารสำนักภาษี เคพีเอ็มจี ในหัวข้อ ASEAN as a business hub for multinationals 

      อนึ่งงานนี้จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2559 เวลา 09.30-18.00 น. ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ  ภายในงานสัมมนามีผู้บริหารของบริษัทจากประเทศหลักในอาเซียน เช่น ไทย จีน อินเดีย เวียดนาม อาทิ Natarajan Chadrasekarun CEO ของ Tata Consultancy Service จากอินเดีย Xiang Wenbo ประธาน Sany Heavy Industry จากจีน Hitoshi Ohnishi President &CEO ของ Isetan Mitsukoshi จากญี่ปุ่น Wang Zhenghua ประธานบริษัท Spring Airline จากจีน Kevin Burrell CEO-Thailand, Philippine and Vietnam,DHL เป็นต้น มาร่วมเสวนาพูดคุยถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างรวดเร็วในอนาคตของภูมิภาคอาเซียนไปพร้อมกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) 

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!